คุณเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รายได้รวมในไตรมาสนี้มีจำนวน 354.81 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.80 เนื่องจากมีจำนวนรถผ่านท่า A5 เพิ่มขึ้นประมาณ 45,000 คัน ประกอบกับมีลูกค้าใหม่ทยอยเข้าใช้บริการพื้นที่คลังสินค้าของบริษัท
ในส่วนของต้นทุนรวมก็เพิ่มขึ้นแปรผันกับรายได้เช่นเดียวกัน ประกอบกับในไตรมาสนี้มีต้นทุนค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทได้พื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 2 แปลง ทำให้มีพื้นที่เพิ่มประมาณ 106 ไร่ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนเพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณรถผ่านท่าและพื้นที่ให้บริการคลังสินค้า โดยในไตรมาสนี้บริษัทยังสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.84
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิรวมของบริษัทลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.05 โดยมีสาเหตุหลักๆ จากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเดิมบริษัทมีขาดทุนสะสมยกมาในส่วนของรายได้ที่บริษัทได้รับ BOI phase 3 ซึ่งบริษัทยังไม่ได้นำมาใช้สิทธิ์ทางภาษี จึงบันทึกเป็นรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีในงบการเงิน โดยในไตรมาสนี้ บริษัทได้ล้างรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีในส่วนของขาดทุนสะสมยกมาออกจำนวน 12.59 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีการะหว่างบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งกับกรมสรรพากร ที่เพิ่งได้มีการตัดสินไปเมื่อเร็วๆนี้
สำหรับในส่วนของผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ไม่แตกต่างจากงวด 6 เดือนของปีที่แล้วมากนัก สืบเนื่องจากผลของการชะลอตัวของความต้องการในตลาดรถยนต์ต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดตะวันออกกลางและออสเตรเลีย ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แต่จะเห็นได้ว่ารายได้ดังกล่าวก็กลับมาชดเชยในไตรมาส 2 ของปีนี้ นอกจากนี้ ในส่วนของกำไรสุทธิที่ลดลงนั้นมีสาเหตุหลักจากการล้างรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีในช่วงไตรมาส 2 ตามที่กล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ดี ผมยังเชื่อมั่นว่าในภาพรวมการส่งออกรถของประเทศไทยทั้งปีจะยังคงอยู่ที่ระดับ 1.25 -1.30 ล้านคัน ซี่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และบริษัทได้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาใช้ในการบริหารท่าเทียบเรือให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้ที่ร้อยละ 80